วันพุธที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2552

Plant Morphology

สัณฐานวิทยาเป็นการศึกษา "รูปร่าง" และ "โครงสร้าง" ในแง่ของการเปรียบเทียบ โดยดูจาก
1. Development
2. Phylogamy
3. Interrelationship
4. Life cycle

Stele theory ของ Van Tiegman
1. Protostele = pith มี xylem เป็นแกนกลาง ล้อมด้วย phloem
- Haprostele = xylem เรียงเป็นวงกลมอยู่ตรงกลาง
- Actinostele = xylem เรียงเป็นพูยื่นออกจากปกนกลาง
- Plectostele = มี ground tissue เกิดแทรกระหว่างกลุ่ม xylem







2. Siphonostele
- Solenostele (Amphipholoic siphonostele) = phloem ล้อมรอบ xylem
- Dictyostele = phloem ล้อมรอบ xylem มีการเรียงตัวก่ายกันเป็นร่างรอบต้น
- Ectophoic siphonostele = phloem ล้อมอยู่แต่ด้านนอกของ xylem
- Eustele = เนื้อเยื่อลำเลียงรวมตัวกันเป็นกลุ่มแบบ collateral หรือ bicollateral และมี Leaf gaps
- Atactostele = กลุ่มเนื้อเยื่อลำเลียงกระจายทั่วต้น

วันอังคารที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2552

วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2552

วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2552

วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2552

วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2552

hlub koj

hlub koj ib leeg

http://www.mediafire.com/?g2ivrmjm5wl

ความหมายของ "มนุษย์"

มนุษย์ไม่ใช่จักรกล
มนุษย์เป็นแค่สัตว์ที่เกิดมาเพื่อทำหน้าที่ของตัวเอง
แล้วหน้าที่ของมนุษย์หล่ะ?
...หน้าที่มนุษย์....
ใช้ชีวิตให้อิสระ/ทำงานที่ตนเองชอบอย่างเต็มที่

วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2552

plant and wildlife of thailand

1. Biomes
2. ป่าไม้
- ความหมาย และชนิดของป่าไม้
- คุณค่าและความสำคัญของป่าไม้
- ปัจจัยควบคุมการแพร่กระจาย
- สาเหตุการลดลงของป่าไม้
- การอนุรักษ์ป่าไม้
- ปัญหาการอนุรักษ์ป่าไม้
- แนวทางการอนุรักษ์ป่าไม้
3. สัตว์ป่าในประเทศไทย
............................................................................
biomes (ชีวนิเวศ) = เขตหรือถิ่นที่สิ่งมีชีวิตมาอยู่รวมกันภายใต้สภาวะแวดล้อมใดสภาวะหนึ่งโดยเฉพาะ แบ่งได้ 3 เขตด้วยกัน ดังนี้
1. ชีวนิเวศในเขตหนาว (Cold region biomes) ได้แก่
- ชีวนิเวศแบบทุนดรา
- ชีวนิเวศแบบป่าสนในเขตหนาว
2. ชีวนิเวศในเขตอบอุ่น (Temperate region biomes) ได้แก่
- ชีวนิเวศแบบป่าผลัดใบในเขตอบอุ่น
- ชีวนิเวศแบบทุ่งหญ้าในเขตอบอุ่น
- ชีวนิเวศแบบทะเลทราย
3. ชีวนิเวศในเขตร้อน (Tropical region biomes) ได้แก่
- ชีวนิเวศแบบป่าดงดิบชื้น
- ชีวนิเวศแบบป่าผลัดใบ
- ชีวนิเวศแบบทุ่งหญ้าและป่าทุ่ง
ป่าไม้ (Forest) คือ บริเวณที่มีต้นไม้ซึ่งมีความสูงไม่น้อยกว่า 5 เมตร และมีเรือนยอดปกคลุมพื้นที่มากกว่า 10% ของพื้นที่ทั้งหมด โดยอาจมีไผ่รวมอยู่ด้วยและต้องมีสิ่งมีชีวิตจำพวกพืช สัตว์และดินในสภาพธรรมชาติ และเป็นพื้นที่ปราศจากการใช้ประโยชน์เพื่อการเกษตร
หรือ หมายถึง สังคมของต้นไม้และสมาชิกอื่น ๆ ที่มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน และปกคลุมเนื้อที่กว้างใหญ่ มีการใช้ประโยชน์จากอากาศ น้ำและแร่ธาตุในดิน เพื่อการเจริญเติบโตและมีการสืบพันธ์ของตนเอง ทั้งให้ผลผลิตและบริการที่จำเป็นแก่มนุษย์
ป่าไม้ของไทยแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1. ป่าดงดิบ หรือป่าไม่ผลัดใบ (Evergreen forest) หมายถึง ป่าที่ประกอบด้วยต้นไม้ที่ใบเขียวชอุ่มตลอดปี ซึ่งพบประมาณ 30 % ของพื้นที่ป่าทั้งหมด แบ่งได้ 4 ชนิดด้วยกัน
1.1 ป่าดิบเมืองร้อน เป็นป่าที่อยู่ในเขตลมมรสุมผัดผ่านเกือบตลอดทั้งปี มีปริมาณน้ำฝนมาก ได้แก่
- ป่าดงดิบชื้น พบทางภาคตะวันออกเฉียงใต้และภาคใต้ของประเทศ ที่มีระดับความสูงตั้งแต่ระดับน้ำทะเลจนถึงระดับ 100 เมตร มีปริมาณน้ำฝนไม่น้อยกว่า 2,500 มิลลิเมตรต่อปี พรรณไม้ที่พบได้แก่ พวกไม้ยาง ปาล์ม หวาย ไผ่และเถาวัลย์ชนิดต่าง ๆ
- ป่าดงดิบแล้ง พบบริเวณที่ราบและหุบเขาที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 100 - 500 เมตร มีปริมาณน้ำฝนระหว่าง 1,000 - 2,000 มิลลิเมตรต่อปี มีพรรณไม้หลักมากชนิด ได้แก่ กระบาก ยางนา ยางแดง ตะเคียนหิน เต็งตานี เป็นต้น และพืชชั้นล่างพวก หวาย ปาล์ม ขิง ข่า แต่ไม่หนาแน่นมาก
- ป่าดงดิบเขา สูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 1,000 เมตรขึ้นไป พบกระจายตามภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ มีปริมาณน้ำฝน 1,500 - 2,000 มิลลิเมตรต่อปี พรรณไม้หลักค่อนข้างจำกัด เช่น พืชวงศ์ก่อ ทะโล้ ยมหอม นางพญาเสือโคร่ง พญาไม้ สนสามพันปี
1.2 ป่าสน กระจายเป็นหย่อม ๆ ทางภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันออกและตะวันตกเฉียงใต้ ที่สูงจากระดัน้ำทะเล 200 - 1,600 เมตร และมีปริมาณน้ำฝน 1,000 - 1,500 มิลลิเมตร มีสนสองใบและสนสามใบเป็นหลัก พืชชั้นล่างพวกหญ้า
1.3 ป่าบึงหรือป่าพรุ พบตามที่ราบลุ่มน้ำขังและตามริมฝั่งทะเลที่มีโคลนเลน
- ป่าพรุ เป็นป่าตามที่ลุ่มที่มีน้ำขังเสมอ อยู่ระดับเดียวกับน้ำทะเล มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง ปริมาณน้ำฝน 2,100 - 2,600 มิลลิเมตรต่อปี ส่วนใหญ่พบทางภาคใต้ของประเทศ พรรณไม้ที่พบได้แก พวกมะฮัง สะเตียว ยากา ตารา อ้ายบ่าว หว้า ช้างไห้ ตีนเป็ดแดง จิกนม เป็นต้น และพืชชั้นล่างพวกปาล์ม
- ป่ชายเลน พบตามชายฝั่งที่มีดินเลนสะสมและขึ้นเป็นกลุ่มก้อน พบพรรณไม้ 70 ชนิด ได้แก่ โกงกางและพวกแสม
1.4 ป่าชายหาด เป็นป่าตามชายฝั่งทะเลที่มีดินเป็นกรวด ทรายและโขดหิน มีพรรณไม้น้อยชนิดและผิดแผกไปจากป่าอื่น

วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2552

CITES

ไซเตส (CITES) อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์ ( The Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora ) หรือ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อนุสัญญาวอชิงตัน ( Washington Convention ) ประเทศไทยเป็นสมาชิก ลำดับที่ 80 โดยลงนามรับรองอนุสัญญาในปี 2518 และให้สัตยาบันในวันที่ 21 มกราคม 2526 คณะกรรมการ CITES ประจำประเทศไทย สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เนื่องจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีคำสั่งเลขที่ 339/2535 ลงวันที่ 12 มิถุนายน 2535 แต่งตั้งคณะกรรมการ CITES ประจำประเทศไทยขึ้น โดยมีหน้าที่ดำเนินการในกิจกรรมต่างๆและให้คำปรึกษาแก่รัฐมนตรีในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอนุสัญญา CITES ในประเทศไทยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้จัดแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบเกี่ยวกับงานของ CITES ในประเทศไทยมอบหมายให้ ส่วนราชการที่มีหน้าที่โดยตรง ในการดูแลชนิดพันธุ์ที่ CITES ควบคุม คือสัตว์ป่า พืชป่า ของป่า อยู่ในความรับผิดชอบของ กรมป่าไม้พืช อยู่ในความรับผิดชอบของ กรมวิชาการเกษตรสัตว์น้ำ อยู่ในความรับผิดชอบของ กรมประมงปัจจุบัน การดำเนินงานการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์ป่า เพื่อมิให้ประชากรของสัตว์ป่าลดน้อยลงหรือสูญพันธุ์ไป กรมป่าไม้ ได้ดำเนินการร่วมมือและประสานงานกับนานาชาติในการอนุรักษ์สัตว์ป่าและดำเนินงานด้านการป้องกันและปราบปราม โดยได้จัดตั้งด่านตรวจสัตว์ป่าขึ้นที่ท่าอากาศยานนานาชาติ ท่าเรือและจุดตรวจตามแนวชายแดน เพื่อป้องกันการลักลอบการค้า การนำเข้า การส่งออกและนำผ่านแดนซึ่งสัตว์ป่า ที่กระทำผิดพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าพ.ศ.2535 ในปัจจุบันได้จัดตั้งขึ้นแล้วจำนวน 49 ด่าน
CITES เริ่มมีขึ้นเมื่อ สหพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ หรือ IUCN ได้จัดการประชุมนานาชาติขึ้น ในปี 2516 ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อร่างอนุสัญญา CITES ขึ้น มีประเทศที่เข้าร่วมประชุม 83 ประเทศรวมทั้งตัวแทนจากประเทศไทยด้วย โดยมีผู้ลงนามรับรองอนุสัญญาฉบับนี้ทันที 21 ประเทศ และในปีพ.ศ.2518 IUCN ได้จัดตั้งสำนักงานเลขาธิการ CITES ขึ้น ทำหน้าที่บริหารอนุสัญญาฉบับนี้ ภายใต้การดูแลของ IUCN ปัจจุบันมีสำนักงานอยู่ที่เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีสมาชิกกว่า 140 ประเทศ โดยสมาชิกจะต้องจ่ายเงินอุดหนุนรายปีเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของสำนักเลขาธิการ CITES สำหรับประเทศไทยนั้น กรมป่าไม้เป็นผู้ขอตั้งงบประมาณเงินอุดหนุน CITES โดยช่วงปี พ.ศ. 2536 - 2538 ประเทศไทยต้องจ่ายเงินปีละ 112,000 บาท ให้กับ CITESจุดประสงค์ของ CITES คือ การอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์ป่าและพืชป่าในโลก เพื่อประโยชน์แห่งมวลมนุษย์ชาติโดยเน้นทรัพยากรสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์หรือมีการคุกคาม ทำให้มีปริมาณร่อยหรอจนอาจเป็นเหตุให้สูญพันธุ์ วิธีการอนุรักษ์ของ CITES ก็คือ การสร้างเครือข่ายทั่วโลกในการควบคุมการค้าระหว่างประเทศ ( International Trade ) ทั้งสัตว์ป่า พืชป่าและผลิตภัณฑ์ แต่ไม่ควบคุมการค้าภายในประเทศ สำหรับชนิดพันธุ์อื่นๆ (Native Species)
โครงสร้างของ CITES ประกอบไปด้วย

1. สำนักงานเลขาธิการ CITES ( CITES Secretariat ) ซึ่งประกอบด้วยผู้บริหารสูงสุด คือ เลขาธิการ ( Secretary General ) ซึ่งแต่งตั้งโดยผู้อำนวยการบริการของ UNEP และบุคคลากรประจำหน้าที่ฝ่ายต่าง โดยหน้าที่ของสำนักเลขาธิการ CITES มีดังนี้จัดประชุมใหญ่สมาชิกอนุสัญญาฯ และอำนวยความสะดวกแก่สมาชิกในการประชุมทำหน้าที่ตามมาตรา 15 และ 16 แห่งอนุสัญญา CITES ว่าด้วยการแก้ไขบัญชีรายชื่อสัตว์และพืชในบัญชีหมายเลข 1,2,3 ( Appendix I-II-III )ศึกษาค้นคว้าในเรื่องที่ได้รับมอบหมายจากที่ประชุมใหญ่ภาคี CITESตรวจสอบรายงานประจำปีของภาคี CITESกระตุ้นภาคี CITES ให้ตระหนักถึงวัตถุประสงค์ของอนุสัญญา CITESจัดพิมพ์รายชื่อชนิดพันธุ์ใน Appendix I-IIและ III แจกจ่ายแก่สมาชิกพร้อมด้วยคำแนะนำอันเป็นประโยชน์ต่อการจำแนกชนิดพันธุ์นั้นจัดทำรายงานผลงานประจำปีของ สำนักงานเลขาธิการ CITES เสนอสมาชิกให้คำแนะนำแก่สมาชิกในการปฏิบัติตามระเบียบอนุสัญญา CITES
2. คณะกรรมาธิการประจำ ( Standing Committee ) ทำหน้าที่ดังนี้ คือให้คำแนะนำแก่สำนักเลขาธิการ CITES ในการบริหารงานตาม อนุสัญญาฯ ประสานงานในการจัดประชุมใหญ่ระหว่างสำนักเลขาธิการ CITES และประเทศเจ้าภาพเป็นคณะกรรมการควบคุมกฎระเบียบวาระการประชุมใหญ่ภาคี CITES รับรองงบประมาณประจำปีของสำนักเลขาธิการ CITES ปฏิบัติหน้าที่อื่นๆตามที่สมาชิกขอร้องคณะกรรมาธิการประจำประกอบด้วยบุคคล 9 คน ได้แก่ ผู้แทนจาก 6 ภูมิภาคหลัก (Six major geographic region ) ของ CITES ซึ่งเลือกตั้งโดยสมาชิกในแต่ละภูมิภาค มีวาระการปฏิบัติงาน 2 สมัยประชุมใหญ่สามัญ ได้แก่ แอฟริกา,เอเซีย,อเมริกาใต้,ยุโรป,อเมริกาเหนือ,Oceania รวม 6 คนประเทศผู้สนับสนุน ( Depositary Government ) 1 คน ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งจะเป็นกรรมาธิการถาวรประเทศเจ้าภาพการประชุมใหญ่สมาชิก CITES ครั้งที่ผ่านมาแล้วและครั้งต่อไป รวม 2 คน ซึ่งมีวาระการปฏิบัติงาน 2 สมัยการประชุมใหญ่สามัญ เช่นกัน สำหรับประธานและรองประธานกรรมาธิการให้เลือกจากผู้แทน 6 ภูมิภาคและผู้แทน 6 ภูมิภาคเท่านั้นที่มีสิทธิ์ออกเสียง ถ้าเสียงเท่ากันผู้แทนจากประเทศผู้สนับสนุนจะเป็นผู้ออกเสียงชี้ขาด
3. คณะกรรมาธิการด้านการสัตว์ ( Animal Committee ) สำนักเลขาธิการ CITES เป็นกรรมการด้านวิชาการคอยตรวจตราควบคุมปริมาณการค้าสัตว์ป่า พิจารณาเพิ่ม-ลดบัญชีสัตว์ป่า ตรวจสอบสภาวะใกล้จะสูญพันธุ์ของสัตว์ป่า ซึ่งจะประกอบด้วยตัวแทนจาก 6 ภูมิภาคหลัก
4. คณะกรรมาธิการด้านพืช (Plant Committee ) มีหน้าที่คล้ายกับคณะกรรมาธิการด้านสัตว์ แต่เป็นด้านพืช ประกอบด้วยผู้แทนจาก 6 ภูมิภาคหลัก เช่นกัน
5. คณะกรรมาธิการจัดทำคู่มือจำแนกพันธุ์ ( Identification Manual Committee ) มีหน้าที่จัดทำคู่มือจำแนกชนิดพันธุ์สัตว์ป่า พืชป่า สำหรับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของประเทศสมาชิกใช้เป็นคู่มือในการออกใบอนุญาต ประกอบด้วยกรรมการอาสาสมัคร
6. คณะกรรมาธิการกำหนดชื่อวิทยาศาสตร์ (Nomenciature Committee ) มีหน้าที่พิจารณาชื่อวิทยาศาสตร์ของ พืชป่า สัตว์ป่าใน Appendix I-II-III ประกอบด้วยกรรมการอาสาสมัคร
หน้าที่ของสมาชิก CITES

1.สมาชิกต้องกำหนดมาตราการในการบังคับใช้อนุสัญญา CITES มิให้มีการค้าสัตว์ป่า พืชป่าที่ผิดระเบียบอนุสัญญาฯ โดยมีมาตรการลงโทษผู้ค้า ผู้ครอบครอง ริบของกลางและส่งของกลางกลับแหล่งกำเนิด กรณีที่ทราบถึงถิ่นกำเนิด
2. ต้องตั้งด่านตรวจสัตว์ป่า พืชป่าระหว่างประเทศ เพื่อควบคุมและตรวจสอบการค้าสัตว์ป่า พืชป่า และการขนส่งที่ปลอดภัยตามระเบียบอนุสัญญา CITES
3.ต้องส่งรายงานประจำปี ( Annual Report ) เกี่ยวกับสถิติการค้าสัตว์ป่า พืชป่าของประเทศตนแกสำนักงานเลขาธิการ CITES
4. ต้องจัดตั้งคณะทำงานฝ่ายปฏิบัติการ ( Management Authority ) และคณะทำงานฝ่ายวิทยาการ ( Scientific Authority ) ประจำประเทศ เพื่อควบคุมการค้าสัตว์ป่า พืชป่า
5. มีสิทธิ์เสนอขอเปลี่ยนแปลงชนิดพันธุ์ในบัญชี Appendix I-II-III ให้ภาคีพิจารณา
ระบบการควบคุมของ CITES

การค้าสัตว์ป่า พืชป่าและผลิตภัณฑ์ระหว่างประเทศจะถูกควบคุมโดยระบบใบอนุญาต ( Permit ) ซึ่งหมายถึงว่า สัตว์ป่าและพืชป่าที่ CITES ควบคุมต้องมีใบอนุญาตในการ1. นำเข้า ( Import )2. ส่งออก ( Export )3. นำผ่าน ( Transit )4. ส่งกลับออกไป ( Re-export )
สำหรับชนิดพันธุ์ของสัตว์ป่าและพืชป่าที่ CITES ควบคุม จะระบุไว้ในบัญชีหมายเลข 1,2,3 ( Appendix ) ของอนุสัญญาฯ โดยได้กำหนดหลักการไว้ว่า
1. ชนิดพันธุ์ในบัญชีหมายเลข 1 เป็นชนิดพันธุ์ของสัตว์ป่าและพืชป่าที่ ห้ามค้าโดยเด็ดขาด เนื่องจากใกล้จะสูญพันธุ์ ยกเว้นเพื่อการศึกษา วิจัยและเพาะพันธุ์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะต้องได้รับความยินยอมจากประเทศที่จะนำเข้าเสียก่อน ประเทศส่งออกจึงจะออกใบอนุญาตส่งออกให้ได้ โดยจะต้องคำนึงถึงความอยู่รอดของชนิดพันธุ์นั้นๆด้วย
1 กระทิง
2 กวางผา
3 กูปรี
4 ชะนีธรรมดา
5 ชะนีมงกุฎ
6 ชะนีมือดำ
7 ชะมดแปลงลายจุดหรืออีเห็นลายเสือ
8 ช้าง
9 นากใหญ่ธรรมดา
10 เนื้อทราย
11 ปลาวาฬแกลบครีบดำ
12 ปลาวาฬมิงค์
13 ปลาวาฬหัวทุย
14 พะยูนหรือหมูน้ำ
15 แมวดาวหรือแมวแกว
16 แมวป่าหัวแบน
17 แมวลายหินอ่อน
18 แรด
19 กระซู่
20 ละองหรือละมั่ง
21 เลียงผา
22 ปลาโลมาขาวเทา
23 ปลาโลมาขาวทะเลใต้
24 ปลาโลมาหัวบาตรหลังเรียบ
25 สมเสร็จ
26 เสือโคร่ง

27 เสือดาวหรือเสือดำ
28 เสือไฟ

29 เสือลายเมฆ
30 หมีควายหรือหมีดำ
31 หมีหมาหรือหมีคน
32 ไก่ฟ้าหางลายขวาง
33 นกกาฮัง
34 นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร
35 นกโจรสลัด
36 นกชนหิน
37 นกชาปีไหน
38 นกชายเลนเขียวลายจุด
39 นกแต้วแล้วท้องดำ
40 เป็ดก่า
41 เหยี่ยวเพเรกริน
42 จระเข้น้ำเค็ม
43 จระเข้น้ำจืด
44 ตะกวด
45 ตะโขง
46 เต่ากระอาน
47 เต่ากระ
48 เต่าตนุ
49 เต่าทะเลลอกเกอร์เฮด
50 เต่าหญ้าตาแดงหรือเต่าสังกะสี
51 เต่ามะเฟือง

2. ชนิดพันธุ์ในบัญชีหมายเลข 2 เป็นชนิดพันธุ์ของสัตว์ป่าและพืชป่าที่ยังไม่ถึงกับใกล้จะสูญพันธุ์ จึงยังอนุญาตให้ค้าได้ แต่ต้องมีการควบคุมไม่ให้เกิดความเสียหาย หรือลดปริมาณลงอย่างรวดเร็วจนถึงจุดใกล้จะสูญพันธุ์ โดยประเทศที่จะส่งออกต้องออกหนังสืออนุญาตให้ส่งออกและรับรองว่าการส่งออก แต่ละครั้งจะไม่กระทบกระเทือนต่อการดำรงอยู่ของชนิดพันธุ์นั้นๆในธรรมชาติ
1 ค้างคาวแม่ไก่ภาคกลาง Pteropus lylei
2 ค้างคาวแม่ไก่เกาะ Pteropus hypomelanus
3 ค้างคาวแม่ไก่ฝน Pteropus vampyrus
4 ชะมดแปลงลายแถบ
5 นากใหญ่ขนเรียบ
6 นากใหญ่จมูกขนหรือนากใหญ่หัวปลาดุก
7 นากเล็กเล็บสั้น
8 ปลาโลมาจุก
9 ปลาโลมาหัวขวดมลายู
10 ปลาโลมาหัวขวดธรรมดา
11 ปลาโลมาหัวขวดปากสั้น
12 ปลาโลมาหัวบาตรครีบหลัง
13 ปลาวาฬแกลบครีบขาวดำ
14 ลิงลม
15 ลิงกัง
16 ลิงไอ้เงี้ยะ
17 ลิงเสน
18 ลิงวอก
19 ลิงแสม
20 ค่างดำ
21 ค่างแว่นถิ่นใต้
22 ค่างหงอก
23 ค่างแว่นถิ่นเหนือ
24 กระแตธรรมดา
25 กระแตเล็ก
26 กระแตหางหมู
27 กระแตหางขนนก
28 ลิ่นหรือนิ่มพันธุ์มลายู Manis javanica
29 เสือปลา
30 แมวป่าหรือเสือกระต่าย Felis chaus
31 หมาใน
32 อีเห็นน้ำ
33 อีเห็นลายเสือโคร่งหรืออีเห็นลายพาด
34 นกกก นกกาฮังหรือนกกะวะ
35 นกกระเรียน
36 นกกระสาดำ
37 นกแก้วโม่ง
38 นกแขกเต้า
39 นกแก้วหัวแพร
40 นกกะลิง,นกกะแล
41 นกหกใหญ่
42 นกหกเล็กปากแดง
43 นกหกเล็กปากดำ
44 นกแสก
45 นกแสกแดง
46 นกเค้าเหยี่ยว
47 นกเค้าหน้าผากขาว
48 นกเค้าแดง
49 นกเค้าภูเขา
50 นกเค้าหูยาวเล็ก
51 นกเค้ากู่,นกฮูก
52 นกเค้าแคระ
53 นกเค้าโม่ง,นกเค้าแมว
54 นกเค้าจุด
55 นกเค้าป่าหลังจุด
56 นกเค้าป่าสีน้ำตาล
57 นกเค้าแมวหูสั้น
58 นกเค้าใหญ่พันธุ์เนปาล
59 นกเค้าใหญ่พันธุ์สุมาตรา
60 นกเค้าใหญ่สีคล้ำ
61 นกทึดทือพันธุ์เหนือ
62 นกทึดทือพันธุ์มลายู
63 นกเงือกหัวแรด
64 นกแต้วแล้วลาย
65 นกเป็ดหงส์
66 นกยูง

67 เหยี่ยวออสเปร
68 เหยี่ยวขาว
69 เหยี่ยวดำ
70 เหยี่ยวแดง
71 เหยี่ยวกิ้งก่าสีน้ำตาล
72 เหยี่ยวกิ้งก่าสีดำ
73 เหยี่ยวนกเขาหงอน
74 เหยี่ยวนกเขาหงอน
75 เหยี่ยวนกกระจอกใหญ่
76 เหยี่ยวนกเขาพันธุ์จีน
77 เหยี่ยวนกเขาชิเครา
78 เหยี่ยวนกกระจอกเล็ก
79 เหยี่ยวนกเขาพันธุ์ญี่ปุ่น
80 เหยี่ยวผึ้ง
81 เหยี่ยวทะเลทราย
82 เหยี่ยวปีกแดง
83 เหยี่ยวหน้าเทา
84 นกอินทรีหัวนวล
85 นกออก
86 เหยี่ยวปลาใหญ่หัวเทา
87 เหยี่ยวปลาเล็กหัวเทา
88 เหยี่ยวนิ้วสั้น
89 เหยี่ยวรุ้ง
90 เหยี่ยวภูเขา
91 เหยี่ยวต่างสี
92 เหยี่ยวดำท้องขาว
93 เหยี่ยวหงอนสีน้ำตาลท้องขาว
94 เหยี่ยวท้องแดง
95 นกอินทรีแถบปีกแดง
96 นกอินทรีเล็ก
97 นกอินทรีดำ
98 นกอินทรีปีกลาย
99 นกอินทรีสีน้ำตาล
100 นกอินทรีหัวไหล่ขาว
101 พญาแร้ง
102 อีแร้งดำหิมาลัย
103 อีแร้งสีน้ำตาล
104 อีแร้งเทาหลังขาว
105 เหยี่ยวทุ่ง
106 เหยี่ยวทุ่งแถบเหนือ
107 เหยี่ยวด่างดำขาว
108 เหยี่ยวเล็กตะโพกขาว
109 เหยี่ยวแมลงปอขาแดง
110 เหยี่ยวแมลงปอขาดำ
111 เหยี่ยวเคสตรัส
112 เหยี่ยวตีนแดง
113 เหยี่ยวฮอบบี้ยุโรป
114 เหยี่ยวค้างคาว
115 นกแว่นสีเทา
116 นกแว่นสีน้ำตาล
117 นกหว้า
118 งูจงอาง
119 งูสิงหางลาย
120 งูเหลือม
121 งูหลาม
122 งูหลามปากเป็ด
123 งูเห่า
124 เหี้ย,เหี้ยดอก,มังกรดอก
125 ตัวเงินตัวทอง,เหาช้าง
126 ตุ๊ดตู่
127 แลนดอน
128 เต่าเหลือง,เต่าเทียม,เต่าขี้ผึ้ง

129 เต่าเสือ,เต่ากระ,เต่าเขาสูง
130 เต่าหก
3. ชนิดพันธุ์ในบัญชีหมายเลข 3 เป็นชนิดพันธุ์ที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายของประเทศใดประเทศหนึ่งแล้ว ขอความร่วมมือประเทศภาคีให้ช่วยดูแลการนำเข้า คือจะต้องมีหนังสือรับรองการส่งออกจากประเทศถิ่นกำเนิด
1 หมาจิ้งจอก Canis aureus
2 หมาไม้ Martes flavigula
3 เพียงพอนเหลือง Mustela sibirica
4 หมีขอหรือบินตุรง Arctictis binturong
5 อีเห็นธรรมดา Paradoxurus hermaphroditus
6 ชะมดแผงสันหางดำ Viverra megaspila
7 ชะมดหางสั้นหางปล้อง Viverra Zibetha
8 ชะมดเช็ด Viverricula indica
9 พังพอนกินปู Herpestes urva
10 ควายบ้าน Bulalus arnee

11 นกกระทาดงอกสีน้ำตาล Arborophila orientalis
12 นกกระทาดงแข้งเขียว Arborophila charltonii
13 ไก่ฟ้าหน้าเขียว Lophura ignita
14 ไก่จุก Rollulus roulroul
15 งูปากกว้างน้ำเค็ม Cerberus rhynchops
16 งูลายสอ Xenochrophis piscator
17 งูแมวเซา Vipera russellii

เก้งหม้อ







วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2552

ลำห้วยเข็ก...อีกหนึ่งความทรงจำ

กลางกันยา 51 ที่ผ่านมา คนหัวเห็ดได้โอกาสกลับไปพักผ่อนที่บ้าน คนหัวเห็ดพาหลาน ๆ ไปเล่นน้ำที่ลำห้วยแห่งนี้ "ลำห้วยเข็ก" หรือแม่น้ำเข็กของชาวบ้าน สายน้ำที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสายใยชีวิตของพวกเรา สายน้ำเล็ก ๆ แต่แบ่งกั้นเพชรบูรณ์กับพิษณุโลกออกจากกัน นานมาแล้วที่คนหัวเห็ดใช้ชีวิตท่ามกลางลำห้วยสายนี้ ตื่นเช้ามารวมพลพร้อมห่อข้าวมุ่งหน้าสู่ทางเหนือของหมู่บ้าน ตกปลาอาบแดดและเล่นน้ำ ว่าได้ว่าที่แห่งนี้เป็นบ้านหลังที่สองของคนหัวเห็ดน่าจะได้ วันเวลาผ่านมาจากเด็กน้อยสู่ชายหนุ่ม คนหัวเห็ดไม่ได้กลับไปเหยียบย่ำผืนทรายที่นี่อีก จนมีโอกาสอีกครั้ง คนหัวเห็ดอยากให้หลาน ๆ ได้สูดอากาศแห่งผืนน้ำ รักธรรมชาติ คนหัวเห็ดจึงชวนหลาน ๆ มาที่นี่ทุกครั้งที่กลับบ้าน และครั้งนี้ก็เช่นกัน
คนหัวเห็ดขอนำเสนอดารานำทัวร์ครั้งนี้ก่อนละกัน เริ่มจากใครดีนะ...เอาเป็นว่า...เริ่มจากน้องเล็กของเรา ผู้ใหญ่นัชนันท์ แซ่จาง.......













คนที่สอง...น้องอรชรอ้อนแอ้น...เจษฎา แซ่จาง


ต่อไป...เชิญพบกับสองคู่หูป่วนบรรลัย....นายอภิชาต และ นายฮั่ว


หนุ่มขายาว...เลียง แซ่หลอ


ช่างกล้อง...หรือช่างมัน...ภูมิชัย แซ่จาง

และ...ผู้กำกับของเรา...
....คนหัวเห็ด....นั่นเอง

วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2552


น้ำตกสันติสุข บ้านห้วยน้ำขาว